แบบฝึกหัดทบทวนความรู้


แบบฝึกทบทวนความรู้





นำข้อความในกล่องเติมลงใน             

๑.น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล  ๒.ดินที่อยู่ตามที่ราบแบนและที่เนินเขา  ๓.สัตว์ป่าสงวน  ๔.แร่เชื้อเพลิง  ๕.ดินในบริเวณภูเขา  ๖.หยาดน้ำฟ้า  ๗.น้ำบนผิวดิน  ๘.แร่โลหะ  ๙.ป่าไม้ไม่ผลัดใบ    ๑๐.ป่าผลัดใบผสมหรือป่าเบญจพรรณ  ๑๑.สัตว์ป่า       ๑๒.แร่อโลหะ  ๑๓.สัตว์ป่าที่ไม่สงวนและคุ้มครอง      ๑๔.ดินในที่ลุ่ม  ๑๕.ป่าไม้ผลัดใบ 




            1.  พื้นที่ซึ่งมีระดับราบและมีการระบายน้ำไม่ดี                  
            2.  ดิน ที่อยู่ตามปากแม่น้ำลำธารเก่าๆ บริเวณชานภูเขา ตามข้างภูเขา และตามเชิงเขา            
            3.  ดินที่อยู่ตามภูเขาภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือถ้าพื้นที่ไม้สูงชันมาก                     
            4.  น้ำค้าง หิมะ ลูกเห็บ หมอก ที่กลั่นตัวหรือละลายกลายเป็นหยดน้ำ และน้ำจากน้ำฝน   
            5.  น้ำที่ไหลหรือมีอยู่ตามพื้นผิวดิน
                6.   น้ำใต้ดิน ได้แก่ น้ำฝน น้ำที่ละลายจากหิมะและก้อนน้ำแข็ง หรือน้ำบนดิน              
                 7.   แร่ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น หลังจากผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วจะมีน้ำหนักมาก ขัด แล้วเป็นเงา
                8.  แร่ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพตรงกันข้ามกับแร่โลหะ และสามารถนำไปใช้ได้เลย
            9.  แร่ที่นำมาใช้ผลิตพลังงานทั้งความร้อนและแสงสว่าง มีความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมมาก
                10.  เป็นป่าไม้ที่ต้นไม้มีใบเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี
                11.   เป็นป่าไม้ที่ต้นไม้มีการทิ้งใบในช่วงหน้าแล้ง และจะผลิใบเมื่อถึงฤดูฝน
                12.  ป่าต้นไม้มีการผลัดใบหรือทิ้งใบทั้งหมดไปพร้อมกันในคราวเดียวกันทั้งผืนป่า






แบบฝึกทบทวนความรู้

     จงเติมคำตอบให้ถูกต้อง

               
 .  อาชีพการเกษตร   .  อาชีพอุตสาหกรรม   .  อาชีพการค้าและบริการ


                1. ประเทศไทยมีพื้นที่ที่มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์   จึงเหมาะแก่การเพาะปลูก ทั้งการทำนา ทำสวน และทำไร่
                2.  การค้าระหว่างประเทศ   ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน   มีการขยายตัว  และพัฒนาหลากหลาย รูปแบบ   ทั้งด้านเทคโนโลยี   การสื่อสาร การคมนาคม
                3.  ลักษณะธรณีวิทยาของประเทศทำให้มีหินอัคนี   หินตะกอน   และหินแปรประเภทต่างๆเกิดขึ้นอยู่ทั่วภูมิภาค เป็นแหล่งกำเนิดของทรัพยากรแร่หลายชนิด
                4.  ความสมบูรณ์ของป่าไม้และพืชพรรณธรรมชาติชนิดต่างๆก่อให้เกิดอุตสาหกรรมในครัวเรือน  และ     หัตถกรรม
                5.  ลักษณะภูมิประเทศที่สวยงามและการมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม   ทำให้เกิดอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมบริการ
                6.  การเลี้ยงสัตว์  เช่น  เป็ด  ไก่  วัว  ควาย  เป็นต้น  ควบคู่ไปกับการเพาะปลูกโดยบางพื้นที่มีการพัฒนาในรูปแบบของฟาร์มปศุสัตว์
                7.  การค้าภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ เป็นธุรกิจการซื้อขาย




  แบบฝึกหัดทบทวนความรู้             

นำคำที่อยู่ในข้อความด้านล่างเติมลงใน                                                                                                                                            
 ลักษณะของชุมชน             ความเชื่อ              วัฒนธรรม            สภาพภูมิศาสตร์                  ที่ราบลุ่มแม่น้ำ
        
        1. ชนกลุ่มน้อยที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆซึ่งมีการนำเอา                      ศาสนา  ภาษา   
                ขนบธรรมเนียม   ประเพณี   ค่านิยม   และเทคโนโลยีในการประกอบอาชีพติดตัวมาด้วย              
                2.  การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอาศัยปัจจัยทาง                    เป็นตัวกำหนดสำคัญ โดยเฉพาะบริเวณที่ราบซึ่งมีดินดี   แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เส้นทางคมนาคมสะดวก   การสื่อสารโทรคมนาคมชัดเจน
                3.  ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทยตั้งถิ่นฐานกันอยู่อย่างหนาแน่นบริเวณ                   
                4.               ประกอบด้วย   ประชากรและเชื้อชาติ   การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน
                5.  การผสมผสานทาง               ซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะทางสังคม วิถีชีวิต      
                วัฒนธรรม   เศรษฐกิจ   และการเมืองของประเทศ

                                                                              



ลักษณะของชุมชน


ลักษณะของชุมชน

ลักษณะของชุมชนประกอบด้วย   ประชากรและเชื้อชาติ   การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน
          1.  ประชากรและเชื้อชาติ   ประเทศไทยประกอบด้วย   ประชากรที่มีเชื้อชาติไทยประมาณร้อยละ 90  ส่วนที่เหลือร้อยละ  10  เป็นคนเชื้อชาติอื่นๆ เช่น   จีน  ลาว  ญวน  เขมร  และชนกลุ่มน้อยที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆซึ่งมีการนำเอาความเชื่อ   ศาสนา  ภาษา   ขนบธรรมเนียม   ประเพณี   ค่านิยม   และเทคโนโลยีในการประกอบอาชีพติดตัวมาด้วย   จึงทำให้มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม  ซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะทางสังคม  วิถีชีวิต  วัฒนธรรม   เศรษฐกิจ   และการเมืองของประเทศ









  ลักษณะพื้นฐานของสังคมและวัฒนธรรมไทยสมบูรณ์



                    2.   การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน   ส่วนใหญ่จะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ชิดกันเป็นแบบรวมกลุ่มกันแบบกระจุก   โดยอาศัยปัจจัยทางสภาพภูมิศาสตร์เป็นตัวกำหนดสำคัญ  โดยเฉพาะบริเวณที่ราบซึ่งมีดินดี   แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์   เส้นทางคมนาคมสะดวก   การสื่อสารโทรคมนาคมชัดเจน   ปัจจัยดังกล่าวส่งเสริมให้พื้นที่เหล่านี้พัฒนาสู่ความเป็นเมือง  เป็นศูนย์กลางของแหล่งอุตสาหกรรมการศึกษา   การค้า   การเมือง   และการปกครอง


                       ในประเทศไทย   ประชากรส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานกันอยู่อย่างหนาแน่นบริเวณที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างในภาคกลาง   ที่ราบลุ่มน้ำปิง  วัง   ยม   น่านในภาคเหนือ   ที่ราบลุ่มน้ำโขง  ชี  มูล  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ที่ราบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ในภาคตะวันออก   และที่ราบชายฝั่งตะวันออกในคาบสมุทรภาคใต้


            การตั้งถิ่นฐานของประชาชนในเขตเมืองหลวง


การตั้งถิ่นฐานของประชากรในเขตชนบท






    






สภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์กับการประกอบอาชีพ

1.  อาชีพการเกษตร  ประเทศไทยมีพื้นที่ที่มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์   จึงเหมาะแก่การเพาะปลูก  ทั้งการทำนา  ทำสวนและทำไร่   ประกอบกับ มีการจัดระบบชลประทานที่ดีโดยเฉพาะในภาคตะวันตกและภาคเหนือซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ  จึงเป็นแหล่งที่     เหมาะแก่การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำไว้เพื่อการเกษตรและการบริโภค  ทำให้มีการขยายพื้นที่การเกษตรออกไปอย่างกว้างขวาง   สามารถปลูกพืช  หมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี   เป็นการเพิ่มผลผลิตซึ่งเป็นอาหารที่ใช้บริโภคภายในประเทศ   และเป็นสินค้าส่งออกสร้างอาชีพสร้างรายได้   ส่งผลให้เกิดความมั่นคงแก่เศรษฐกิจของประเทศ
     นอกจากการเพาะปลูกแล้วยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ วัว ควาย   ควบคู่ไปกับการพะปลูก โดยบางพื้นที่จะมีการพัฒนาในรูปแบบของฟาร์มปศุสัตว์ เช่น ฟาร์มโคนม และยังมีการทำประมงน้ำจืด ประมงน้ำกร่อย ประมงทะเล และการเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง






วิถีเกษตรไทย ตอน เกษตรกรรมทางเลือกในเขตที่ราบสูงแห้งแล้ง

เกษตรกรรม เป็นการเพาะปลูกพืช เห็ดรา เลี้ยงสัตว์ ตลอดจนอาหาร เส้นใย เชื้อเพลิงชีวภาพ ยารักษาโรคและผลิตภัณฑ์อื่นซึ่งใช้บำรุงและปรับปรุงชีวิตมนุษย์ เกษตรกรรมเป็นพัฒนาการสำคัญในความเจริญของอารยธรรมมนุษย์ที่อยู่กับที่ ซึ่งการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์สปีชีส์ที่ถูกทำให้เชื่องทำให้มีอาหารส่วนเกินซึ่งช่วยพัฒนาการของอารยธรรม การศึกษาเกษตรกรรม เรียก เกษตรศาสตร์ ประวัติศาสตร์เกษตรกรรมย้อนไปหลายพันปี และภูมิอากาศ วัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่ต่างกันมากขับเคลื่อนและนิยามพัฒนาการของเกษตรกรรม ทว่า เกษตรกรรมทั้งหมดโดยทั่วไปพึ่งพาเทคนิคการขยายและบำรุงที่ดินที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงสปีชีส์ที่ถูกทำให้เชื่อง สำหรับพืช เทคนิคนี้มักอาศัยชลประทานบางรูปแบบ แม้จะมีวิธีการเกษตรกรรมในเขตแห้งแล้งอยู่ก็ตาม การเลี้ยงปศุสัตว์เป็นการเลี้ยงในระบบทุ่งหญ้าและไม่เป็นเจ้าของที่ดินรวมกัน ครอบคลุมพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของส่วนที่ปราศจากน้ำแข็งและน้ำของโลก ในโลกพัฒนาแล้ว กษตรอุตสาหกรรมที่ยึดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่ได้กลายเป็นระบบเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่พบมากที่สุด แต่มีแรงสนับสนุนเกษตรกรรมยั่งยืน รวมถึงเกษตรถาวรและเกษตรกรรมอินทรีย์มากขึ้น












                                                 

  2.  อาชีพอุตสาหกรรม   ประกอบด้วยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่   ขนาดกลาง   ขนาดย่อม   และอุตสาหกรรมในครัวเรือน   และนำไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ
                     ลักษณะธรณีวิทยาของประเทศทำให้มีหินอัคนี   หินตะกอน   และหินแปรประเภทต่างๆเกิดขึ้นอยู่ทั่วภูมิภาค
เป็นแหล่งกำเนิดของทรัพยากรแร่หลาย ชนิด   เช่น  ดีบุก  ทังสเตน  วุลแฟรม  สังกะสี   ทองแดง  แร่พลอย  เป็นต้น   ประกอบกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้   ทำให้การค้นหาและการทำเหมืองแร่มีความสะดวกมากขึ้น  แร่ถูกนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมอย่างกว้างขว้าง   ส่งผลให้เกิดโรงงานถลุง และการผลิตขนาดใหญ่ตามพื้นที่ต่างๆตามมา   เช่นโรงงานผลิตสังกะสีและเฟลด์สปาร์   โรงงานผลิตปูนซีเมนต์  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมีแร่เชื้อเพลิงที่สำคัญ   คือ    น้ำมันปิโตรเลียมถ่านหิน   และแก๊สธรรมชาติ   ซึ่งนำมาใช้ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมเคมี  แหล่งสำคัญได้แก่พื้นที่ ภาคตะวันออก   การตั้งนิคมอุสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกเพื่อพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้าและเพื่อการส่งออก
          ความสมบูรณ์ของป่าไม้และพืชพรรณธรรมชาติชนิดต่างๆก่อให้เกิดอุตสาหกรรมในครัวเรือน  และหัตถกรรม  
       โดยใช้เครื่องจักรง่ายๆไม่ซับซ้อน   เช่น   การทอผ้า   การทำเครื่องปันดินเผา   การแกะสลัก   การจักรสาน การทำเครื่องเงินประดับมุก   เป็นต้น   สินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อใช้ภายในท้องถิ่นและขายให้กับนักท่องเที่ยว  ปัจจุบันได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์และพัฒนารูปแบบให้สวยงาม เพื่อการส่งออกขายยังต่างประเทศ


                     ลักษณะภูมิประเทศที่สวยงามและการมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม   ทำให้เกิดอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมบริการ
       ที่ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  โดยอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง  เช่น  โรงแรม  การขนส่ง   บริษัททัวร์   ร้านค้า อุตสาหกรรมการก่อสร้าง เป็นต้น
   






                                                                                                          

  3.  อาชีพการค้าและบริการ  ประกอบด้วย  การค้าภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ เป็นธุรกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้า ที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร และอุตสาหกรรมต่างๆโดยปัจจัยทางสภาพภูมิศาสตร์ทำให้เกิดความแตกต่างกันทั้งในด้านชนิด  ปริมาณ   และคุณภาพ  ซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
             ลักษณะที่เป็นคาบสมุทรของประเทศ   ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางในการติดต่อกับประเทศต่างๆ เกิดการแลกเปลี่ยน สินค้า และวัฒนธรรม   ซึ่งพัฒนาไปสู่อาชีพค้าขายอย่างแพร่หลาย
                    การค้าภายในประเทศ   มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากร    ส่วนใหญ่เป็นสินค้า ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต   ได้แก่  สินค้าประเภทอุปโภคบริโภคที่ได้จากการเกษตร   อุตสาหกรรมในครัวเรือน และอุตสาหกรรมขนาดย่อม  แต่ปัจจุบันค่านิยมทางวัตถุทำให้สินค้าประเภทฟุ่มเฟือยและการบริการในรูปแบบต่างๆ มีบทบาทมากขึ้นในสังคม
                    การค้าระหว่างประเทศ   ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน   มีการขยายตัว และพัฒนา
       หลากหลาย รูปแบบ   ทั้งด้านเทคโนโลยี   การสื่อสาร  การคมนาคม














                                                   

ภูมิศาสตร์ประเทศไทย


ลักษณะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอประเทศไทย


1. ทรัพยากรดิน                                                                                                                                                
 ดินเกิดจากการผุพังของหินที่อยู่บนผิวโลก ด้วยการกระทำของอากาศ น้ำ ต้นไม้ สัตว์ ตลอดจนมนุษย์ ดินเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่อยู่กับที่ โดยเฉพาะดินในบริเวณลาดเขาหรือที่สูง จะถูกพัดพาไปสู่ที่ต่ำ เช่น พาไปไว้ตามหุบเขา หรือตามปากแม่น้ำ เป็นต้น
           ดินในประเทศไทยส่วนมากเป็นดินที่ถูกพัดพามาจากที่สูง เช่น จากเทือกเขา      ผีปันน้ำ เป็นต้น ดินพวกนี้เรียกว่า ดินตะกอน ดังนั้นตามหุบเขาทางภาคเหนือ เช่นลุ่มแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ ตามเชิงเขาแถบลุ่มน้ำยม จะมีดินตะกอนตกตามปากลำธาร  ทำให้เกิดดินรูปสามเหลี่ยมคล้ายพัด ถ้าเป็นที่ราบปากแม่น้ำ เช้นแม่น้ำเจ้าพระยา จะเรียกว่า ดินดอนสามเหลี่ยม เป็นต้น


 กลุ่มดินในประเทศไทย ประเทศไทยแบ่งชนิดดินออกเป็น 3 ชนิด
1) ดินในที่ลุ่ม หมายถึง พื้นที่ซึ่งมีระดับราบและมีการระบายน้ำไม่ดี เช่น ที่ราบดินตะกอน พบมากในเขตที่ราบภาคกลาง รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ราบชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการปลูกข้าวและปลูกพืชโดยการยกร่อง



การทำการเกษตรทางภาคพื้นดิน

2) ดินที่อยู่ตามที่ราบแบนและที่เนินเขา คือ ดิน ที่อยู่ตามปากแม่น้ำลำธารเก่าๆ บริเวณชานภูเขา ตามข้างภูเขา และตามเชิงเขา พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ราบชายฝั่งภาคใต้ เป็นดินที่มีธาตุอาหารประเภทด่างน้อย เหมาะสำหรับเพาะปลูกพืชไร่ เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด เป็นต้น
3) ดินในบริเวณภูเขา เป็นดินที่อยู่ตามภูเขาภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือถ้าพื้นที่ไม้สูงชันมาก 
      ชาวไร่หรือชาวเขาเผ่าต่างๆ จะถางเพื่อทำไร่ ปลูกข้าว ข้าวโพดและผักต่างๆ นอกนั้นปล่อยทิ้งไว้เป็นพื้นที่ป่าไม้ เพื่อรักษาต้นน้ำและผลผลิตไม้ทางเศรษฐกิจ






Image hosting by Photobucket



    2. ทรัพยากรน้ำ
         แหล่งน้ำ แหล่งหรือที่มาของน้ำมี 3 แหล่ง ดังนี้
1)            หยาดน้ำฟ้า (Precipitation) ได้แก่ น้ำค้าง หิมะ ลูกเห็บ หมอก ที่กลั่นตัวหรือละลายกลายเป็นหยดน้ำ และน้ำจากน้ำฝน
ประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพัดจากมหาสมุทรเข้าสู่แผ่นดินระหว่างปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนตุลาคม (ฤดูฝน) ทำให้มีฝนตกกระจายทั่วไป ปริมาณฝนของประเทศไทยโดยรวมมีค่าประมาณ 1,600 มิลลิเมตรต่อปี โดยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออก มีปริมาณฝนน้อยฝนช่วงฤดูหนาวและมีฝนมากในช่วงฤดูฝน ขณะที่คาบสมุทรภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีปริมาณฝนมากในช่วงฤดูหนาว ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนมากในช่วงฤดูฝน
2) น้ำบนผิวดิน หรือน้ำผิวพื้น หรือท่าน้ำ (Surface water) คือ น้ำที่ไหลหรือมีอยู่ตามพื้นผิวดิน เช่น แม่น้ำ ลำคลองตามธรรมชาติ รวมถึงน้ำที่อาจจะขังอยู่ตามห้วย หนอง คลอง บึง ทะเล และลุ่มน้ำ หรือทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้น
ในประเทศไทยมีแหล่งน้ำผิวดินประเภทห้วยใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น บึง-บอระเพ็ด หนองหาน กว๊านพะเยา นอกจากนั้นยังมีแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น คือ อ่างเก็บน้ำ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ รวมถึงเก็บไว้ใช้ในหน้าแล้ง เป็นต้น
 



3) น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล (Ground water)   น้ำใต้ดิน ได้แก่ น้ำฝน น้ำที่ละลายจากหิมะและก้อนน้ำแข็ง หรือน้ำบนดิน เช่น น้ำในลำธาร แม่น้ำ อ่างเก็บน้ำ ที่ซึมลงไปในดินและช่องว่างระหว่าหิน
น้ำในดิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
น้ำในดิน หมายถึง น้ำที่ซึมซับอยู่ในดินเนื่องจากดินอุ้มน้ำจนอิ่มตัว
น้ำในชั้นดินหรือน้ำบาดาล หมายถึง น้ำใต้ดินที่ซึมลึกลงไปในพื้นดินไปรวมอยู่ ในชั้นของหิน
3. ทรัพยากรแร่
    แร่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป มีความสำคัญและมีบทบาทต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของมนุษย์เช่น เหล็ก ทองแดง ทองคำ ตะกั่ว สังกะสี เป็นต้น
      แร่ บางออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
       1) แร่โลหะ คือแร่ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น หลังจากผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วจะมีน้ำหนักมาก ขัดแล้วเป็นเงา สามารถตีแผ่นหรือรีดออกเป็นเส้นได้ และหลอมละลายเมื่อถูกความร้อนสูง เป็นต้นแร่โลหะที่สำคัญ ได้แก่ แร่ดีบุก เหล็ก แมงกานีส ทังสเตนและวุลแฟรม ตะกั่วและสังกะสี ทองคำ เงิน และทองแดง
       2) แร่อโลหะ คือ แร่ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพตรงกันข้ามกับแร่โลหะ และสามารถนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องนำมาถลุงหรือแยกแร่ก่อน จำแนกออกเป็น





แร่ธาตุต่างภายในประเทศ

-แร่อโลหะที่ใช้ในการก่อสร้าง ได้แก่ หิน กรวด ทราย ปูนขาว ปูนซีเมนต์ ยิปซัมและใยหิน เป็นกลุ่มแร่ที่สามารถผลิตได้ทั่วไป
                - แร่อโลหะเคมี ได้แก่ กำมะถัน เกลือ แคลไซต์ เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมีต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง  บาปราบศัตรูพืช การผลิตยารักษาโรคต่างๆ เป็นต้น
                -แร่อโลหะทำปุ๋ย ได้แก่ ไนเตรต
-แร่อโลหะเครื่องปั้นดินเผา ได้แก่ แร่ดินเหนียว ประกอบด้วยเกาลิไนต์ อิลไลต์และมอนต์ มอริลโลไนต์ เป็นแร่ที่นำมาใช้ผลิตเครื่องปั้นดินเผา เครื่องสุขภัณฑ์ และส่วนประกอบในการก่อสร้าง
-แร่อโลหะใช้ขัดถู ได้แก่ หิน ทราย ทับทิม และเพชร เป็นแร่ที่นำมาใช้ตัด ขัดถูและตกแต่งเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
                 -แร่อโลหะที่ป้องกันความร้อน ได้แก่ ยิปซัม ใยหิน แมกนีเซียม และไมกา เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นฉนวน เพื่อป้องกันความร้อนในเครื่องใช้ ในอาคารบ้านเรือน และเสื้อผ้าที่ใช้ผจญเพลิง
                 -แร่อโลหะทำสี ได้แก่ แร่ดินเหนียว ดินเหลือง ไดอะโทไมต์ และแบไรต์ เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสี
3) แร่เชื้อเพลิง เป็นแร่ที่นำมาใช้ผลิตพลังงานทั้งความร้อนและแสงสว่าง มีความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมมากที่สำคัญได้แก่ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ







4. ทรัพยากรป่าไม้   
    ป่าไม้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธาร โดยป่าไม้ในแต่ละบริเวณจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิอากาศภูมิประเทศ น้ำ และดิน




แผนที่แสดงแหล่งแร่ธาตุภายในประเทศไทย

ป่าไม้ในประเทศไทย จำแนกเป็น 3 ประเภท คือ
1) ป่าไม้ไม่ผลัดใบ (Evergreen Forest) เป็นป่าไม้ที่ต้นไม้มีใบเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี
-ป่าดิบหรือป่าดิบชื้น พบบริเวณที่มีความชุ่มชื้นสูง มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไป เป็นป่าไม้ที่พบในทุกภูมิภาคของประเทศไทย แต่พบมากในภาคใต้และภาคตะวันออก

-ป่าดิบเขา พบบริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,5002,000 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ขึ้นไป เป็นป่าไม้ที่พบมากทางภาคเหนือ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น

-ป่าสนเขาหรือป่าสน พบบริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,0001,500 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าระดับน้ำทะเล6001,200 เมตร เป็นป่าไม้ที่พบบริเวณเขาสูง เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น

-ป่าโกงกาง พบบริเวณชายฝั่งทะเล เช่น จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และพลเป็นแห่งๆ ทางชายฝั่งทะเลตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถึงนราธิวาส เป็นต้น



            



2) ป่าไม้ผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นป่าไม้ที่ต้นไม้มีการทิ้งใบในช่วงหน้าแล้ง และจะผลิใบเมื่อถึงฤดูฝน
-ป่าแพะ ป่าแดง ป่าโคก หรือป่าเต็งรัง เป็นป่าไม้ที่พบในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมากถึงร้อยละ 7080 ของพื้นที่ป่าไม้
                 3) ป่าผลัดใบผสมหรือป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest)เป็นป่าต้นไม้มีการผลัดใบหรือทิ้งใบทั้งหมดไปพร้อมกันในคราวเดียวกันทั้งผืนป่า พบมากในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก





5. ทรัพยากรสัตว์ป่า
สัตว์ป่า  หมายถึง  สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยป่าเป็นถิ่นกำเนิดและถิ่นอาศัย  ได้แก่  สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ   สัตว์เลื้อยคลาน  นก    และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า  พ.ศ.   2503   ได้ให้คำนิยามว่า   สัตว์ป่า  หมายถึง  สัตว์ทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในป่า  ยกเว้นสัตว์จำพวกแมลงหรือสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง

สัตว์ป่าในประเทศไทย   จำแนกตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า   พ.ศ.  2503  แบ่งออกเป็น   3  กลุ่ม
1)  สัตว์ป่าสงวน   หมายถึง  สัตว์ป่าหายาก  มี  15   ชนิด  ได้แก่  แรด    กระซู่  กูปรีหรือโคไพร   ควายป่า  ละองหรือละมั่ง  เลียงผา  กวางผา นกเจ้าฟ้าสิรินธร  นกแต้วแร้วท้องดำ   นกกระเรียง  แมวลายหินอ่อน  สมเสร็จ  เก้งหม้อ  และพะยูนหรือหมูน้ำ   เป็นสัตว์ที่ห้ามล่าโดยเด็ดขาด





สัตว์สงวนในไทย

     2)  สัตว์ป่าคุ้มครอง   แบ่งออกเป็น  2  ประเภท
                          สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่   1   หมายถึง   สัตว์ป่าที่ปกติคนจะไม่ใช้เนื้อเป็นอาหารหรือไม่ล่าเพื่อการกีฬาเป็นสัตว์ป่าที่ทำลายศัตรูพืช  หรือขจัดสิ่งปฏิกูล  หรือสงวนไว้เพื่อประดับความงามตามธรรมชาติ  หรือไม่ให้จำนวนลดลง มีทั้งสิ้น  166  ชนิด  เช่น  ช้าง  ชะมด  กระรอก  ลิง  เสือปลา หมาไม้  เป็นต้น  และนกชนิดต่างๆอีก  130  ชนิด  เช่น  นกกวัก นกเงือก  นกเขาไฟ   เป็นต้น



           สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่  2   หมายถึง   สัตว์ป่าที่คนนิยมใช้เนื้อมาปรุงอาหารหรือล่าเพื่อการกีฬา  มีทั้งสิน  29  ชนิด เช่น  กระทิง  กวาง  กระจง  เสือโคร่ง  หมีควาย  เป็นต้น  และนกอื่นๆอีก  19  ชนิด  เช่น  นกกระสา  นกแขวกนกอีโก้ง  ไก่ป่า   เป็นต้น





  3)  สัตว์ป่าที่ไม่สงวนและคุ้มครอง   หมายถึง   สัตว์ป่าที่สามารถทำการล่าได้ตลอดเวลาแต่ต้องไม่ล่าในเขตหวงห้าม  เช่น  อุทยานแห่งชาติ  เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  และเขตห้ามล่าสัตว์  เป็นต้น  สัตว์ป่าที่ไม่สงวนและคุ้มครอง  เช่น  หนู  ค้างคาว   ตะกวด  แย้   งูเห่า  นกกระจาบหมูป่า   เป็นต้น