ลักษณะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอประเทศไทย
1. ทรัพยากรดิน
ดินในประเทศไทยส่วนมากเป็นดินที่ถูกพัดพามาจากที่สูง เช่น
จากเทือกเขา ผีปันน้ำ เป็นต้น ดินพวกนี้เรียกว่า ดินตะกอน ดังนั้นตามหุบเขาทางภาคเหนือ เช่นลุ่มแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่
ตามเชิงเขาแถบลุ่มน้ำยม จะมีดินตะกอนตกตามปากลำธาร ทำให้เกิดดินรูปสามเหลี่ยมคล้ายพัด ถ้าเป็นที่ราบปากแม่น้ำ
เช้นแม่น้ำเจ้าพระยา จะเรียกว่า ดินดอนสามเหลี่ยม เป็นต้น
กลุ่มดินในประเทศไทย ประเทศไทยแบ่งชนิดดินออกเป็น 3 ชนิด
1) ดินในที่ลุ่ม หมายถึง
พื้นที่ซึ่งมีระดับราบและมีการระบายน้ำไม่ดี เช่น ที่ราบดินตะกอน
พบมากในเขตที่ราบภาคกลาง รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และที่ราบชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก
เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการปลูกข้าวและปลูกพืชโดยการยกร่อง
การทำการเกษตรทางภาคพื้นดิน
2) ดินที่อยู่ตามที่ราบแบนและที่เนินเขา คือ ดิน ที่อยู่ตามปากแม่น้ำลำธารเก่าๆ
บริเวณชานภูเขา ตามข้างภูเขา และตามเชิงเขา
พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ราบชายฝั่งภาคใต้
เป็นดินที่มีธาตุอาหารประเภทด่างน้อย เหมาะสำหรับเพาะปลูกพืชไร่
เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด เป็นต้น
3) ดินในบริเวณภูเขา เป็นดินที่อยู่ตามภูเขาภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือถ้าพื้นที่ไม้สูงชันมาก
ชาวไร่หรือชาวเขาเผ่าต่างๆ จะถางเพื่อทำไร่ ปลูกข้าว ข้าวโพดและผักต่างๆ นอกนั้นปล่อยทิ้งไว้เป็นพื้นที่ป่าไม้ เพื่อรักษาต้นน้ำและผลผลิตไม้ทางเศรษฐกิจ
ชาวไร่หรือชาวเขาเผ่าต่างๆ จะถางเพื่อทำไร่ ปลูกข้าว ข้าวโพดและผักต่างๆ นอกนั้นปล่อยทิ้งไว้เป็นพื้นที่ป่าไม้ เพื่อรักษาต้นน้ำและผลผลิตไม้ทางเศรษฐกิจ
2. ทรัพยากรน้ำ
แหล่งน้ำ แหล่งหรือที่มาของน้ำมี 3 แหล่ง ดังนี้
1)
หยาดน้ำฟ้า (Precipitation) ได้แก่
น้ำค้าง หิมะ ลูกเห็บ หมอก ที่กลั่นตัวหรือละลายกลายเป็นหยดน้ำ และน้ำจากน้ำฝน
ประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
ซึ่งพัดจากมหาสมุทรเข้าสู่แผ่นดินระหว่างปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนตุลาคม
(ฤดูฝน) ทำให้มีฝนตกกระจายทั่วไป ปริมาณฝนของประเทศไทยโดยรวมมีค่าประมาณ 1,600 มิลลิเมตรต่อปี โดยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน
และภาคตะวันออก มีปริมาณฝนน้อยฝนช่วงฤดูหนาวและมีฝนมากในช่วงฤดูฝน
ขณะที่คาบสมุทรภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีปริมาณฝนมากในช่วงฤดูหนาว
ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนมากในช่วงฤดูฝน
2) น้ำบนผิวดิน หรือน้ำผิวพื้น หรือท่าน้ำ (Surface water) คือ น้ำที่ไหลหรือมีอยู่ตามพื้นผิวดิน เช่น แม่น้ำ ลำคลองตามธรรมชาติ
รวมถึงน้ำที่อาจจะขังอยู่ตามห้วย หนอง คลอง บึง ทะเล และลุ่มน้ำ
หรือทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้น
ในประเทศไทยมีแหล่งน้ำผิวดินประเภทห้วยใหญ่ๆ
ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น บึง-บอระเพ็ด หนองหาน กว๊านพะเยา
นอกจากนั้นยังมีแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น คือ อ่างเก็บน้ำ
เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
รวมถึงเก็บไว้ใช้ในหน้าแล้ง เป็นต้น
3) น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล (Ground water) น้ำใต้ดิน ได้แก่ น้ำฝน
น้ำที่ละลายจากหิมะและก้อนน้ำแข็ง หรือน้ำบนดิน เช่น น้ำในลำธาร แม่น้ำ
อ่างเก็บน้ำ ที่ซึมลงไปในดินและช่องว่างระหว่าหิน
น้ำในดิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
น้ำในดิน หมายถึง น้ำที่ซึมซับอยู่ในดินเนื่องจากดินอุ้มน้ำจนอิ่มตัว
น้ำในชั้นดินหรือน้ำบาดาล หมายถึง น้ำใต้ดินที่ซึมลึกลงไปในพื้นดินไปรวมอยู่ ในชั้นของหิน
3. ทรัพยากรแร่
แร่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป
มีความสำคัญและมีบทบาทต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของมนุษย์เช่น เหล็ก
ทองแดง ทองคำ ตะกั่ว สังกะสี เป็นต้น
แร่ บางออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1) แร่โลหะ
คือแร่ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น หลังจากผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วจะมีน้ำหนักมาก
ขัดแล้วเป็นเงา สามารถตีแผ่นหรือรีดออกเป็นเส้นได้
และหลอมละลายเมื่อถูกความร้อนสูง เป็นต้นแร่โลหะที่สำคัญ ได้แก่ แร่ดีบุก เหล็ก
แมงกานีส ทังสเตนและวุลแฟรม ตะกั่วและสังกะสี ทองคำ เงิน และทองแดง
2) แร่อโลหะ คือ
แร่ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพตรงกันข้ามกับแร่โลหะ
และสามารถนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องนำมาถลุงหรือแยกแร่ก่อน จำแนกออกเป็น
แร่ธาตุต่างภายในประเทศ
-แร่อโลหะที่ใช้ในการก่อสร้าง ได้แก่ หิน กรวด ทราย ปูนขาว ปูนซีเมนต์
ยิปซัมและใยหิน เป็นกลุ่มแร่ที่สามารถผลิตได้ทั่วไป
- แร่อโลหะเคมี ได้แก่ กำมะถัน
เกลือ แคลไซต์ เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมีต่างๆ เช่น
ยาฆ่าแมลง บาปราบศัตรูพืช
การผลิตยารักษาโรคต่างๆ เป็นต้น
-แร่อโลหะทำปุ๋ย ได้แก่ ไนเตรต
-แร่อโลหะเครื่องปั้นดินเผา ได้แก่ แร่ดินเหนียว ประกอบด้วยเกาลิไนต์
อิลไลต์และมอนต์ –มอริลโลไนต์
เป็นแร่ที่นำมาใช้ผลิตเครื่องปั้นดินเผา เครื่องสุขภัณฑ์
และส่วนประกอบในการก่อสร้าง
-แร่อโลหะใช้ขัดถู ได้แก่ หิน ทราย ทับทิม และเพชร
เป็นแร่ที่นำมาใช้ตัด ขัดถูและตกแต่งเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
-แร่อโลหะที่ป้องกันความร้อน
ได้แก่ ยิปซัม ใยหิน แมกนีเซียม และไมกา เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นฉนวน เพื่อป้องกันความร้อนในเครื่องใช้
ในอาคารบ้านเรือน และเสื้อผ้าที่ใช้ผจญเพลิง
-แร่อโลหะทำสี ได้แก่
แร่ดินเหนียว ดินเหลือง ไดอะโทไมต์ และแบไรต์
เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสี
3) แร่เชื้อเพลิง
เป็นแร่ที่นำมาใช้ผลิตพลังงานทั้งความร้อนและแสงสว่าง มีความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมมากที่สำคัญได้แก่
ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ
ป่าไม้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธาร โดยป่าไม้ในแต่ละบริเวณจะแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิอากาศภูมิประเทศ น้ำ และดิน
แผนที่แสดงแหล่งแร่ธาตุภายในประเทศไทย
ป่าไม้ในประเทศไทย จำแนกเป็น 3 ประเภท คือ
1) ป่าไม้ไม่ผลัดใบ (Evergreen Forest) เป็นป่าไม้ที่ต้นไม้มีใบเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี
-ป่าดิบหรือป่าดิบชื้น พบบริเวณที่มีความชุ่มชื้นสูง
มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 500
เมตรขึ้นไป เป็นป่าไม้ที่พบในทุกภูมิภาคของประเทศไทย
แต่พบมากในภาคใต้และภาคตะวันออก
-ป่าดิบเขา พบบริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,500 – 2,000 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000
เมตร ขึ้นไป เป็นป่าไม้ที่พบมากทางภาคเหนือ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น
-ป่าสนเขาหรือป่าสน พบบริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,000 – 1,500 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าระดับน้ำทะเล600
– 1,200 เมตร เป็นป่าไม้ที่พบบริเวณเขาสูง เช่น ภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น
-ป่าโกงกาง พบบริเวณชายฝั่งทะเล เช่น จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร
สมุทรสงคราม เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และพลเป็นแห่งๆ
ทางชายฝั่งทะเลตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถึงนราธิวาส เป็นต้น


2) ป่าไม้ผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นป่าไม้ที่ต้นไม้มีการทิ้งใบในช่วงหน้าแล้ง
และจะผลิใบเมื่อถึงฤดูฝน
-ป่าแพะ ป่าแดง ป่าโคก หรือป่าเต็งรัง
เป็นป่าไม้ที่พบในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พบมากถึงร้อยละ 70 – 80 ของพื้นที่ป่าไม้
3) ป่าผลัดใบผสมหรือป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest)เป็นป่าต้นไม้มีการผลัดใบหรือทิ้งใบทั้งหมดไปพร้อมกันในคราวเดียวกันทั้งผืนป่า
พบมากในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก
สัตว์ป่า หมายถึง
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยป่าเป็นถิ่นกำเนิดและถิ่นอาศัย ได้แก่
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
2503 ได้ให้คำนิยามว่า สัตว์ป่า
หมายถึง สัตว์ทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในป่า
ยกเว้นสัตว์จำพวกแมลงหรือสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
สัตว์ป่าในประเทศไทย
จำแนกตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
2503 แบ่งออกเป็น 3
กลุ่ม
1)
สัตว์ป่าสงวน หมายถึง
สัตว์ป่าหายาก มี 15
ชนิด ได้แก่ แรด
กระซู่ กูปรีหรือโคไพร ควายป่า
ละองหรือละมั่ง เลียงผา กวางผา นกเจ้าฟ้าสิรินธร นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเรียง
แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ
และพะยูนหรือหมูน้ำ
เป็นสัตว์ที่ห้ามล่าโดยเด็ดขาด
สัตว์สงวนในไทย
2)
สัตว์ป่าคุ้มครอง
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1
หมายถึง
สัตว์ป่าที่ปกติคนจะไม่ใช้เนื้อเป็นอาหารหรือไม่ล่าเพื่อการกีฬาเป็นสัตว์ป่าที่ทำลายศัตรูพืช หรือขจัดสิ่งปฏิกูล หรือสงวนไว้เพื่อประดับความงามตามธรรมชาติ หรือไม่ให้จำนวนลดลง มีทั้งสิ้น 166
ชนิด เช่น ช้าง
ชะมด กระรอก ลิง
เสือปลา หมาไม้ เป็นต้น และนกชนิดต่างๆอีก 130
ชนิด เช่น นกกวัก นกเงือก นกเขาไฟ
เป็นต้น









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น